ปีที่ ๕ – บทที่ ๑

ทุ่ม–โมง

พอขึ้นชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ มานีสูง ๑๔๕ เซนติเมตร ชูใจสูงกว่ามานี ๒ เซนติเมตร ดวงแก้วสูง ๑๔๐ เซนติเมตร สมคิดสูงjust about the sameไล่เลี่ยกับมานี ส่วนปิติสูงถึง ๑๕๕ เซนติเมตร to look atแลดูตัวของเขาสูงungainly, awkwardเก้งก้าง แขนและขายาวget in the wayเกะกะ เพื่อนๆ ในชั้นgrow, developเติบโตสูงใหญ่ขึ้นaccording to their ageตามวัยทุกคน ไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้นที่เจริญเติบโต ความคิด จิตใจของพวกเขาก็grow, developงอกงามขึ้นaccordingly, in turnตามลำดับด้วย รู้จักคิด รู้ว่าอะไรถูกผิด ควรทำเรือไม่ควรทำ รู้จักsinบาปobligation, duty, favor, a kindnessบุญคุณโทษ เพราะทั้งพ่อแม่ guardianผู้ปกครองและครูอาจารย์ต่างjoin hands to work togetherร่วมมือกันeducateอบรมสั่งสอน และtrain, practiceฝึกฝนpromote, enhanceส่งเสริมให้พวกเขาเป็นคนดี set one’s mind toตั้งอกตั้งใจto study, learnศึกษาเล่าเรียนall along, consistentlyตลอดมา

วันนั้นเพิ่งเปิดเรียนมาได้สามวัน พอถึงเวลาที่กำหนดให้independent studyศึกษาค้นคว้า ครูประจำชั้นให้นักเรียนทำงานตามone one’s ownลำพัง สมคิดนั่งทำงานwhileพลางอ้าปากyawn loudlyหาวหวอดๆ เขารีบmake an excuseแก้ตัวกับเพื่อนๆ ว่า “ตอนหยุดเทอม ฉันไปอยู่กับปู่ที่ภูเก็ต ทำตัวสบายเกินไปเลยติดนิสัย กลางคืนพอสามทุ่มก็เข้านอน สองโมงเช้าจึงตื่น” ปิติฟังแล้วรู้สึกสงสัยคำว่าทุ่ม กับ โมง comes up suddenlyขึ้นมาทันทีว่าเหตุใดเวลากลางคืนจึงเรียกว่าทุ่ม เวลากลางวันจึงเรียกว่าโมง ทำไมจึงไม่เรียกให้เหมือนกัน เขาคิดว่าชูใจอาจจะรู้เพราะย่าของชูใจis a person who likes to tell stories?เป็นคนช่างเล่า ชูใจกำลังคิดเลขไม่ออก รู้สึกannoyed, irritatedหงุดหงิดอยู่แล้ว พอปิติมาbeg, pesterเซ้าซี้ถาม แม้ไม้ถึงกับโกรธfirewood and fire = furiousเป็นฟืนเป็นไฟก็ทำท่าagitated, angrilyกระฟัดกระเฟียด บ่นmutter, mumbleพึมพำว่าปิติคิดscatterbrained, muddled, confusedฟุ้งซ่าน ใครๆ เขาเรียกเช่นนี้มาa long timeนมนานแล้ว ไม่เห็นใครสงสัย ปิติจึงไปถามครูทำหน้าที่librarianบรรณารักษ์

ครูส่งหนังสือให้ปิติเล่มหนึ่ง ชื่อ “นิทานโบราณคดี” เป็นroyal writingพระนิพนธ์ของสมเด็จ-พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ปิติเปิดดูสารบัญมีเรื่องสนุกหลายเรื่อง เขาเห็นนิทานเรื่องที่ ๖ มีเรื่องย่ำยามและทุ่มโมง ก็นั่งอ่านด้วยความสนใจ เมื่ออ่านจบ เขาเก็บหนังสือไปคืนครูทำหน้าที่บรรณารักษ์แล้วกลับไปที่ห้องเรียน เพื่อนๆ หลายคนยังนั่งทำงานอยู่ที่โตะ บางคนอ่านหนังสืออยู่ที่มุมห้อง

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ปิติwander, strollเตร่เข้าไปยืนข้างโตะชูใจ พลางspeak outพูดเปรยๆ ว่า “ฉันรู้แล้วละว่า ทำไมเราจึงเรียกเวลากลางวันว่าโมง เรียเวลากลางคืนว่าทุ่ม” ชูใจทำเลขเสร็จจึงอารมณ์ดี หันไปพูดกับปิติว่า “ไปรู้มาจากไหนล่ะปิติ ??? where did you try to...???ไหนลองขยายให้ฟังบ้างซี” ปิติเดินput on an air of self-importanceวางเขื่องไปยืนกลางห้อง “ใครอยากฟังบ้างล่ะ ฉันจะเล่าให้ฟัง” เพื่อนๆ lift their heads upเงยหน้าขึ้นถามว่าปิติจะเล่าเรื่องอะไร พอรู้พากันดีใจ เพราะทุกคนอยากรู้อยู่เหมือนกัน “รีบเล่าเถอะปิติ เวลาจวนจะหมดแล้ว” มานีto urgeเร่งเร้า ปิติpuffed out his chest proudlyยืดอกขึ้นอย่างภาคภูมิ พยายามวางท่ากับsage, philosopherนักปราชญ์ ทำdeep voiceเสียงห้าวและพูดช้าๆ มีจังหวะเหมือนผู้ใหญ่

“เรื่องเรียกเวลากลางวันว่าโมง เรียกเวลากลางคืนทุ่ม สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันิฐานไว้ในหนังสือtreatise on old folk talesนิทานโบราณคดี ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของพระองค์ว่า ในสมัยโบราณเวลากลางวันคงจะใช้ฆ้องตีบอกเวลา เสียงฆ้องดัง โมง โมง” เวลาเท่าไรก็ตีเท่านั้นครั้งๆ ตีสามครั้งก็เป็นสามโมง ตีหกครั้งก็เป็นหกโมง ส่วนเวลากลางคืนใช้กลองตีบอกเวลา เสียงกลองดัง ตุ้ม ตุ้ม หรือ ทุ่ม ทุ่ม เวลาเท่าไรก็ตีเท่านั้นครั้ง ตีห้าครั้งก็เป็นห้าทุ่ม” เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้นว่า “เดี๋ยวนี้ไม่ได้ตีฆ้องหรือกลองบอกเวลาแล้วทำไมยังเรียกทุ่ม เรียกโมงอยู่ล่ะ”

ปิติตอบ “ถึงจะไม่ได้ตีฆ้องหรือกลองบอกเวลา แต่คำทุ่มกับโมงเป็นที่เข้าใจของทั่วไปแล้ว จึงยังคงเรียกfrequently used word, phraseติดปากอยู่”

“ถ้าไม่เรียกว่าทุ่มกับโมงแล้วเธอจะเรียกว่าอะไร” ชูใจหันไปถาม เพื่อนคนนั้นsit quietly, not movingนั่งนิ่ง นึกอยู่เป็นนานจึงตอบเสียงsoftlyอ่อยๆ ว่า “ไม่รู้ซี”

“เดี๋ยวนี้เรามีนาฬิกาบอกเวลา เสียงนาฬิกาดัง แก๊ง แก๊ง เราน่าจะเรียก สองแก๊ง สามแก๊ง” เพื่อนคนหนึ่งออกความเห็น

“นาฬิกาที่บ้านของฉันด้ง ติ้งต่อง ติ้งต่อง มิต้องเรียกว่า สองติ้งต่อง สามติ้งต่องหรือ” อีกคนหนึ่งถาม

มานีจึงว่า “นั่นน่ะซี ของเดิมเรียกทุ่ม เรียกโมงน่ะดีอยู่แล้ พอพูดว่าสามโมงเช้า สามโมงเย็น หรือสามทุ่ม ก็เข้าใจได้ทันทีว่าหมายถึงเวลาใด ถ้าเปลี่ยนเป็น แก๊ง เป็น ติ๊งต่อง คงต้องอธิบายทำความเข้าใจกันอยู่อีกนานจึงจะรู้เรื่องกัน”

“คุณครูเคยสอนพวกเราว่า สิ่งใดที่ยังใช้ได้ดีมีประโยชน์และยังหาของใหม่แทนที่ให้ดีกว่าเดิมไม่ได้ ก็อย่าไปเปลี่ยนแปลง ฉันคิดว่า คำว่า ทุ่ม โมงนี้ ยังใช้ได้ดีอยู่ พวกเธออย่าponder, think aboutคิดอ่านเปลี่ยนแปลงเลย” ดวงแก้วพูดแล้วชี้มือไปที่ไม้กวาดเก่าๆ หลังห้องพลางว่า “อย่างไม้กวาดนั่นเก่าแก่ragged, tattered, shabbyกะรุ่งกะริ่ง กวาดห้องไม่สะอาดแล้ว ทำไมไม่คิดเปลี่ยนใหม่particle: showing intention to act or reliefเสียที”เพื่อนๆ ได้ฟังจึงพากันหัวเราะ นักเรียนที่เป็นstudent welfare councilกรรมการสวัสดิการรับว่าพรุ่งนี้จะหามาเปลี่ยน

สมคอดยังสนใจเรื่อง ทุ่มโมงอยู่ จึงถามปิติว่า “ทำไมบางคนจึงเรียกเวลาหกทุ่มว่าmidnightสองยาม

ปิติย้อนถามว่า “เธอเคยไปยินบางคนเรียกเวลาหกโมงเช้าว่า ย่ำรุ่ง และเรียกเวลาหกโมงเย็นว่า ย่ำค่ำ บ้างไหมล่ะ”

ชูใจร้องว่า “ย่าของฉันยังเรียก ย่ำค่ำ ย่ำรุ่งอยู่ เวลาหกทุ่มก็เรียกสองยาม” ปิติอธิบายว่า “คำว่า ทุ่มกับโมง พวกเธอเข้าใจแล้ว เหลือคำว่า ย่ำกับยาม ฟังนะ ฉันจะเล่าให้ฟัง” เขาหยุดนิดหนึ่งเพื่อให้เพื่อนๆ สนใจตั้งใจฟังยิ่งขึ้ง “สมเด็จกรม-พระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าไว้ในหนังสือนิทานโบราณคดีว่า ประเพณีไทยแต่โบราณมีการให้คนอยู่take the watchเวรยามตามสถานที่สำคัญ ในเวลากลางวันswitchผลัดละ ๖ ชั่วโมง เวลากลางคืนผลัดละ ๓ ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่หกโมงเช้า หรือ ๖ นาฬิกา เริ่มตั้งแต่หกโมงเช้า หรือ ๖ นาฬิกา เขาก็ตีย่ำฆ้องระฆัง เพื่อให้คนมาเข้าเวรยาม คำว่า ย่ำคือ ตีin quick successionซ้ำๆ ถี่ๆ

“อ๋อ เหมือนเราdance lifting one foot then the otherย่ำเท้าใช้ไหม ย่ำเท้าก็ยกเท้าขึ้นลงซ้ำๆ สลับกัน” มานีพูด ปิติnod head in agreementพยักหน้าพลางเล่าต่อไปว่า “ใช่แล้วจ้ะ และตอนหกโมงเช้าเป็นเวลาเพิ่งรุ่งสว่างจึงเรียกว่าย่ำรุ่ง พอถึงเวลาเที่ยงวัน คือ ๑๒ นาฬิกา ต้องเปลี่ยนเวลายาม เขาก็ตีฆ้องระฆัง เรียกให้คนที่จะเข้าเวรยามต่อไปมาเปลี่ยนเวลาเที่ยง ผู้ใหญ่บางคนยังเรียกย่ำเที่ยงอยู่ อีกหกชั่วโมงต่อมาถึงเวลาหกโมลเย็นหรือ ๑๘ นาฬิกาเป็นเวลาค่ำ เขาstrike the gong repeatedlyย่ำฆ้องระฆังให้คนมาเปลี่ยนเวรยามอีกจึงเรียกว่าย่ำค่ำ พอถึงกลางคืนอยู่ยามผลัดละ ๓ ชั่วโมง ฉะนั้นยามหนึ่งใช้เวลาตั้งแต่หกโมงเย็นถึงสามทุ่ม ยามสองตั้งแต่สามทุ่มถึงหกทุ่ม ยามสามตั้งแต่หกทุ่มถึงตีสาม คือตีกลองบอกเวลา ๓ ครั้ง หรือ ๓นาฬิกา ยามสุดท้ายตั้งแต่ตีสามถึงหกโมงเช้า คือยามรุ่ง ที่มีคนเรียกหกทุ่มว่า สองยาม ก็คือเวลาหกทุ่มนั้นผ่านยามไปแล้วสองยามนั่นเอง” พอปิติพูดจบเพื่อนๆ ก็ปรบมือให้

“ดีจริง ฉันเพิ่งรู้นี่เองว่าทำไมจึงเรียกเวลากลางคืนว่าทุ่ม เวลากลางวันว่าโมง เรียกหกโมงเช้าว่าย่ำรุ่ง เรียกหกโมงเย็นว่ายามค่ำ และเรียกเที่ยงคืนว่าสองยาม ขอบใจปิตินะ” เพื่อนคนหนึ่งพูด

“ถ้าอยากรู้อะไรๆ มากกว่านี้ ก็ไปหาอ่านหนังสือซี มีเรื่องสนุกๆ เยอะแยะ” ปิติบอก

“เรื่องทุ่ม โมง นี่เธอไปอ่านจากหนังสืออะไรนะ” มานีถาม

“หนังสือนิทานโบราณคดี ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เธอไปหาคุณครูทำหน้าที่บรรณารักษ์ แล้วเรียนท่านว่าเธออยากรู้เรื่องอะไร ท่านก็จะหาหนังสือให้เอง” ปิติแนะนำ

ตั้งแต่นั้นมาเพื่อนๆ ของปิติอยากรู้เรื่องอะไรก็ไปหาครูทำหน้าที่บรรณารักษ์ ครูก็จัดหาให้ตามความต้องการ

- + - + - + - + - + - + - + -